ในคนที่มีสุขภาพแข็งแรง เนื้อเยื่อกระดูกมีการเสื่อมสลายและสร้างขึ้นใหม่อยู่ตลอดเวลา สำหรับคนที่เป็นโรคกระดูกพรุน การสร้างเซลกระดูกไม่เร็วเท่ากับการทำลาย ความหนาแน่นของกระดูกในผู้ชายระหว่างอายุ 40-70 ปีจะลดลงถึง 15% สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ต้องระวัง เนื่องจากบุคคลที่มีความหนาแน่นของกระดูกต่ำเสี่ยงต่อกระดูกหัก บริเวณที่เกิดโดยทั่วไปคือ สะโพก ข้อมือ กระดูกสันหลัง และซี่โครง

      ฮอร์โมนเพศชายมีผลกับหลายระบบของการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย มีส่วนในการผลิตเม็ดเลือดที่ไขกระดูก เช่นเดียวกับการผลิตกระดูก การลดลงของระดับฮอร์โมนเพศชายมีบทบาทในการลดการเกิดใหม่ของกระดูกและลดการผลิตเม็ดเลือดแดง

      กับการที่มีอายุเพิ่มขึ้นและระดับฮอร์โมนเพศชายลดลง ระดับความเสี่ยงของผู้ชายคล้ายกับผู้หญิง คือ1 ใน 8 ของผู้ชายที่มีอายุมากกว่า 50 มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคกระดูกพรุน

ใครจะเป็นโรคกระดูกผรุนเราไม่สามารถทำนายล่วงหน้าได้ แต่มีปัจจัยเสี่ยงที่จะชักนำให้เกิดโรคกระดูกพรุน ความเสี่ยงเหล่านี้คือ

• สูงอายุ
  
• ระดับฮอร์โมนเพศชายต่ำ
  
• ประวัติครอบครัวที่เป็นโรคกระดูกพรุน
  
• รูปร่างที่ผอมและหรือเล็ก
  
• การใช้ยาสเตอรอยด์ ยากันชัก
  
• การดื่มสุรามากเกินไป
  
• การสูบบุหรี่
  
• การขาดการออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนัก

• ตรวจร่างกายทุก 1-2 ปี ร่วมกับการตรวจความดันโลหิต ความสูงและน้ำหนัก เป็นการตรวจร่างกายทั่วไป
• การตรวจทางคลินิกหาก้อนในอัณฑะซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการตรวจร่างกาย เป็นการตรวจเพื่อหามะเร็งในอัณฑะ
• ควรปรึกษาเกี่ยวกับการลดน้ำหนักและการออกกำลังกาย การคุมกำเนิด การป้องกันการติดโรคทางเพศสัมพันธ์ การดื่มสุราจัด การสูบบุหรี่ และการติดยา
• ควรตรวจฟันทุกปี
• ตรวจไขมันในเลือด อาจตรวจขั้นต้นเมื่ออายุ 20 ตรวจซ้ำทุก 5 ปี

• ตรวจร่างกายทุก 1-2 ปี ร่วมกับการตรวจความดันโลหิต ความสูงและน้ำหนัก เป็นการตรวจร่างกายทั่วไป
• การตรวจทางคลินิกหาก้อนในอัณฑะซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการตรวจร่างกาย เป็นการตรวจเพื่อหามะเร็งในอัณฑะ
• ควรปรึกษาเกี่ยวกับการลดน้ำหนักและการออกกำลังกาย การคุมกำเนิด การป้องกันการติดโรคทางเพศสัมพันธ์ การดื่มสุราจัด การสูบบุหรี่ และการติดยา
• การตรวจต่อมลูกหมาก (Prostate specific antigen- - PSA) ทุกปี เริ่มเมื่ออายุ 45 ปี สำหรับผู้ชายที่มีความเสี่ยง เพื่อตรวจหามะเร็งต่อมลูกหมาก
• ควรตรวจฟันทุกปี
• ตรวจไขมันในเลือด ทุกปี หรือตามที่แพทย์แนะนำ เพื่อตรวจหาโรคหัวใจ
• การตรวจคลื่นหัวใจ (Electrocardiogram- - ECG)

• ตรวจร่างกายทุกปี ร่วมกับการตรวจความดันโลหิต ความสูงและน้ำหนัก เป็นการตรวจร่างกายทั่วไป
  
• การตรวจทางคลินิกหาก้อนในอัณฑะทุกปี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการตรวจร่างกาย เป็นการตรวจเพื่อหามะเร็งในอัณฑะ
  
• ควรปรึกษาเกี่ยวกับการลดน้ำหนักและการออกกำลังกาย การดื่มสุราจัด การสูบบุหรี่ และการติดยา
  
• ตรวจปัสสาวะทุกปี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการตรวจร่างกาย เป็นการตรวจร่างกายทั่วไป
  
• ควรตรวจฟันทุกปี
  
• การตรวจตา รวมทั้งการตรวจต้อกระจกทุก 2 ปี
  
• ตรวจการได้ยินทุก 2 ปี
  
• ตรวจไขมันในเลือด ทุกปี หรือตามที่แพทย์แนะนำ
  
• การตรวจหาโรคหัวใจ
  
• ตรวจหาปริมาณน้ำตาลในเลือด (Fasting Blood Sugar) ทุกปี เพื่อหาเบาหวาน
  
• การตรวจหาฮอร์โมนกระตุ้นไทรอยด์หลังจากอายุ 60 ตรวจสำหรับระบบการทำงานของไทรอยด์
  
• การตรวจต่อมลูกหมาก (Prostate specific antigen- - PSA) ทุกปี เพื่อตรวจหามะเร็งต่อมลูกหมาก
  
• หนึ่งในตัวเลือกเพื่อตรวจหามะเร็งลำไส้ เมื่อมีข้อบ่งชี้
  1. Fecal Occult Blood Test ทุกปี หรือส่องกล้องผ่านทวารหนัก ( sigmoidoscopy) ทุก 5 ปี
     
  2. การสวนอุจจาระด้วยสารสี (Barium enema) ควรตรวจทุก 5-10 ปี
     
  3. การส่องกล้องที่ลำไส้ใหญ่ (Colonoscopy) ทุก 10 ปี

• ตรวจร่างกายทุกปี ร่วมกับการตรวจความดันโลหิต ความสูงและน้ำหนัก เป็นการตรวจร่างกายทั่วไป
• การตรวจทางคลินิกหาก้อนในอัณฑะทุกปี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการตรวจร่างกาย เป็นการตรวจเพื่อหามะเร็งในอัณฑะ ควรปรึกษาเดือนละครั้งสำหรับการตรวจอัณฑะด้วยตัวเอง
• ควรปรึกษาเกี่ยวกับการลดน้ำหนักและการออกกำลังกาย การดื่มสุราจัด การสูบบุหรี่ และการติดยา
• ตรวจปัสสาวะทุกปี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการตรวจร่างกาย เป็นการตรวจร่างกายทั่วไป
• ตรวจปากและเนื้อเยื่อข้างในปากทุกปีสำหรับคนที่สูบบุหรี่ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการตรวจร่างกาย เป็นการตรวจร่างกายทั่วไป
• ควรตรวจฟันทุกปี
• การตรวจตา รวมทั้งการตรวจต้อกระจกทุก 2 ปี
• ตรวจการได้ยินทุก 2 ปี
• ตรวจไขมันในเลือดทุกปี หรือตามที่แพทย์แนะนำ
• การตรวจหาโรคหัวใจ
• ตรวจหาปริมาณน้ำตาลในเลือด (Fasting Blood Sugar) ทุกปี เพื่อหาเบาหวาน
• การตรวจต่อมลูกหมาก (Prostate specific antigen- - PSA) ทุกปี เพื่อตรวจหามะเร็งต่อมลูกหมาก
• หนึ่งในตัวเลือกเพื่อตรวจหามะเร็งลำไส้เมื่อมีข้อบ่งชี้
  1. Fecal Occult Blood Test ทุกปี และ sigmoidoscopy ทุก 5 ปี
     
  2. การสวนอุจจาระด้วยสารสี (Barium enema) ควรตรวจทุก 5-10 ปี
     
  3. การส่องกล้องที่ลำไส้ใหญ่ (Colonoscopy) ทุก 10 ปี